วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

รัฐในอุดมคติ

4 เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ก็ขอสวัสดีท่านอาจารย์ยิ่งยศและผู้ที่ติดตามบล็อคนี้ทุกท่านนะค่ะ
วันนี้ขอขึ้นต้นด้วยคำคมทางปรัชญากันนิดนึงค่ะ เพราะในหัวข้อที่แล้วซึ่งเป็นหัวข้อแรกเลยในการเริ่มทำบล็อค ทำให้มีข้อมูลผิดพลาดกันอยู่บ้าง จึงนำเอาคำคมมาเปรียบเทียบกับตัวผู้เขียนเองว่าเมื่อ 4 เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง และจะนับประสาอะไรกับนิสิตตาดำๆที่ความรู้น้อยและด้อยประสบการณ์คนนี้ล่ะค่ะ ก็ต้องมีการผิดพลาดกันบ้างเป็นของของธรรมดา และด้วยเวลาที่ตัวผู้เขียนเองค่อนข้างมีจำกัด เนื่องจากไม่มีคอมพิวเตอร์ส่วนตัว บางทีก็ขอยืมเพื่อนบ้าง หรือบางทีก็ใช้คอมพิวเตอร์ส่วนรวม ได้ยืนเล่นบ้าง นั่งเล่นบ้าง แล้วแต่โชคชะตาจะเอื้ออำนวยค่ะ แม้จะมีข้อผิดพลาด แต่ผู้เขียนก็จะพยายามปรับปรุงแก้ไข ถามผู้ที่มีความรู้และผู้ที่มีประสบการณ์ และจะทำให้เกิดข้อผิดพลาดน้อยที่สุดค่ะ
รัฐในอุดมคติ
ถ้าพูดถึงรัฐในอุดมคติแล้ว ตัวผู้เขียนเองอาจจะบอกได้อย่างไม่มั่นใจว่ารัฐหรือระบบการปกครองแบบไหนดีที่สุด เพราะตัวผู้เขียนนั้นเป็นผู้ที่อ่านหนังสือเกี่ยวกับการเมือง การปกครองน้อย แต่เท่าที่ได้อ่านและได้ศึกษาดู ก็คงอยากจะให้เป็นเหมือนกับประเทศบรูไน เนื่องจากประเทศบรูไนปัจจุบันเป็นประเทศเล็กๆในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่เนื่องด้วยทรัพยากรที่มีศักภาพสูงในสายตาชาวโลก โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจ
องค์สุลต่าน เซอร์ มูดา หะซะนัล โบลกียะฮ์ ซึ่งเป็นองค์สุลต่านของประเทศบรูไน นอกจากจะดำรงตำแหน่งประมุขของประเทศทั้งทางการเมืองและศาสนา และพระองค์ทรงมีบทบาทมากในฐานะผู้นำของประเทศในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม จนแทบเรียกได้ว่าประเทศบรูไนปัจจุบันยังมีการปกครองโดยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อยู่ ทั้งนี้ก็คงเป็นเพราะองค์สุลต่านทรงเป็นผู้จัดวางนโยบาย ทรงบริหารและทรงควบคุมดูแลบ้านเมืองโดยพระองค์เองทั้งสิ้น โดยมีเชื้อพระวงศ์ที่ใกล้ชิดเป็นผู้ช่วย ที่น่าสังเกตสำหรับบทบาทขององค์สุลต่านผู้ปกครองบรูไน คือ แม้พระองค์จะทรงใช้พระราชอำนาจอย่างเต็มที่ในการปกครองตามรูปแบบของการปกครองสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็ตาม แต่ก็ไม่เคยเกิดปัญหาร้ายแรง คงเป็นเพราะทรงมีความสามารถในการปกครองและการบริหารประเทศ ที่ทำให้ประชาชนเห็นว่าทรงทำทุกอย่างเพื่อให้ประชานมีการดำรงชีวิตที่ดีที่สุดในทุกๆด้าน แม้จะทรงได้รับการวิพากษ์วิจารณ์บ้างว่าการดำเนินนโยบายบางประการของพระองค์โดยเฉพาะด้านการเมืองเศรษฐกิจจะทำเพื่อพระองค์เองก็ตาม
ด้านการเมือง
องค์สุลต่านองค์ปัจจุบันทรงมีบทบาทมาก พระองค์ทรงปฏิบัติภารกิจทางด้านนี้อย่างเต็มที่ เริ่มจากการเสนอหลักการปกครองประเทศที่ทรงย้ำว่าให้ชาวบรูไนเป็นสาระสำคัญที่พึงยึดถือยึดปฏิบัติ และพึงมีความศรัทธาอย่างไม่ต้องมีข้อสงสัย ซึ่งได้รับการยอมรับจากประชาชนเป็นอย่างดี คือ หลักไตรลักษณ์ ลักษณะสำคัญของหลักนี้มีความหมายว่า หลักสำคัญที่ชาวบรูไนควรยึดถือคือ องค์สุลต่านเป็นประมุขของประเทศ ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ และชาวมาเลย์เป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ แม้จะเห็นว่าองค์สุลต่านจะมีอำนาจเต็มที่ทางการเมือง แต่พระองค์ก็ทรงเปิดโอกาสให้ชาวบรูไนมีส่วนร่วมในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย คือ สามารถตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาได้เช่น พรรคประชาธิปไตยแห่งบรูไน และพรรคสหชาติบรูไน จุดมุ่งหมายของทั้งสองพรรคมีแนวนโยบายที่คล้ายคลึงกัน คือ ต้องการปลุกประชาชนให้ตื่นตัวในระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย ซึ่งนับว่าค่อนข้างจะท้าทายอำนาจการปกครองระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ทำให้องค์สุลต่านใช้พระราชอำนาจในฐานะผู้นำของรัฐบาลประกาศยุบพรรคการเมืองภายใต้กฎอัยการศึก การกระทำในลักษณะนี้ขององค์สุลต่านไม่ปรากฎว่าไม่ได้รับผลสะท้อนมาจากประชาชนเลย เพราะประชาชนชาวบรูไนไม่นิยมระบบพรรคการเมือง
ด้านศาสนา
ทรงให้ความสำคัญกับศาสนามาเป็นอันดับหนึ่งในการบริหารประเทศ เพราะทรงแสดงออกอย่างเด่นชัดว่า ทรงไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้ชาวบรูไนรับวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาในประเทศ เพราะทรงเห็นว่าวัฒนธรรมตะวันตกสมัยใหม่จะทำให้เกิดสิ่งไม่ดีต่างๆกับชาวบรูไน เช่น จะทำให้ชาวบรูไนชอบการเที่ยวเตร่ ชอบการดื่มสุรา และนำมาซึ่งการละเลยกิจวัตรที่ดีงามของศาสนาอิสลาม ดังนั้นพระองค์จึงใช้วิธีเข้มงวดกวดขันการเข้ามาสู่บรูไนของวัฒนธรรมตะวันตกจากฝ่ายที่รับผิดชอบด้านศาสนา เพื่อจะให้ประชาชนชาวบรูไนได้รับการปลูกฝังตามวัฒนธรรมที่ดีงามของศาสนาอิสลาม นอกจากนี้ รัฐก็พยายามที่จะสร้างมหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้น เพื่อยกระดับการศึกษาของประชาชนให้สูงขึ้น เพราะรัฐบาลของบรูไนไม่นิยมส่งนัศึกษาไปต่างประเทศ เนื่องจากมีความหวาดระแวงว่าจะละทิ้งขนบธรรมเนียมและชักนำวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาสู่สังคมอิสลามของบรูไน
ด้านสังคม
ประชาชนชาวบรูไนได้ชื่อว่าโชคดีที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับประชาชนในประเทศต่างๆของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยกันคือ ชาวบรูไนจะได้รับบริการและสวัสดิการในทุกๆด้านจากรัฐอย่างเต็มที่ ตั้งแต่เกิดจนตายเลยทีเดียว คือ ตั้งแต่การศึกษา การรักษาพยาบาล ที่อยู่อาศัยโดยรัฐจะบริการหาให้โดยคิดดอกเบี้ยในอัตตราที่ต่ำมาก บางกรณีถึงขั้นให้อยู่ฟรี ภาครัฐและเอกชนจะมีงานให้ประชาชนทำอย่างเหลือเฟือ โดยรัฐจะคอยสอดส่องดูแลเรื่องค่าตอบแทนที่จะได้รับหลังเกษียณแล้ว โดยตั้งกองทุนสำหรับลูกจ้างที่เป็นชาวบรูไนหรือพวกที่มาอยู่ในบรูไนอย่างถาวร มีอายุไม่ต่ำกว่า 55 ปี เป็นผู้ที่ไม่มีสิทธิได้รับเงินบำนาญหรือเงินใดๆจากทางบริษัท โดยผู้ที่สมัครเข้าเป็นสมาชิกของกองทุนจะต้องเสียสละเงินร้อยละ 5 ของเงินเดือนของเงินเดือนของตน ฝากไว้กับกองทุนนี้และบริษัทผู้จ้างจะจ่ายเพิ่มให้อีกร้อยละ 5 รวมเป็นเงินสะสมรายเดือนร้อยละ 10 ของเงินเดือน รัฐจะนำไปทำให้งอกเงยและเกิดผลกำไรเพื่อนำมาจ่ายคืนให้กับสมาชิก จะเบิกได้เมืออายุครบ 50 ปี ส่วนผลทางอ้อมที่รัฐบาลมุ่งหวังก็คือต้องการจะให้ประชาชนชาวบรูไนหันไปทำงานกับภาคเอกชนมากขึ้น เพราะแต่เดิมชาวบรูไนพอใจที่จะเป็นข้าราชการมากกว่าที่จะเป็นลูกจ้างของเอกชน เนื่องจากเห็นว่าภาครัฐให้ทั้งเงินเดือนและสวัสดิการที่ดีกว่าภาคเอกชน และอีกประการหนึ่งที่รัฐบาลหวังที่จะสร้างนิสัยการออมทรัพย์ให้เกิดขึ้นกับประชานชนอีกด้วย ในขณะเดียวกัน เงินทุนตามโครงการนี้ก็จะไปเป็นเงินทุนของรัฐไปพร้อมๆกัน
ด้านเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจของประเทศบรูไนยังคงผูกขาดอยู่กับน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นผลผลิตประมาณ 72 % ของผลผลิตทั้งหมดภายในประเทศ และ 99% ของการส่งออก ประเทศบรูไนมีรายได้จากทรัพยากรทั้งหมดของประเทศเพราะยังมีปริมาณคงเหลืออยู่ในประเทศอย่างเหลือเฟือ ฉะนั้นผลกระทบโดยรวมทั้งหมดของประเทศบรูไน จึงยังไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
สาเหตุที่รัฐในอุดมคติเป็นเหมือนประเทศบรูไน อย่างแรกเลยคิดว่าเป็นประเทศที่ เจ๋ง และรวย เป็นประเทศที่มีประชากรน้อย มีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก จึงทำให้ประเทศบรูไนเป็นประเทศที่น่าสนในจึงหยิบยกขึ้นมาเป็นตัวอย่าง และมีความคิดว่ารัฐในอุดมคติของผู้เขียนก็อยากให้เป็นแบบประเทศบรูไนบ้าง เนื่องจากมีการค้าน้ำมัน และผลิตน้ำมันได้เอง ทำให้เป็นประเทศที่มีฐานะทางการเงินดี หรือรวยนั่นเอง ถ้ารัฐในอดมคติจะเป็นไปได้ก็อยากให้ผู้ปกครองรัฐเห็นแก่ประชาชนส่วนใหญ่เป็นสำคัญ และให้การช่วยเหลือประชาชนเหมือนที่ชาวบรูไนได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาล แต่สิ่งที่รัฐในอุดมคติไม่อยากให้เป็นเหมือนกับประเทศบรูไนก็คือทางด้านศาสนา ไม่ต้องเคร่งครัดศาสนาอย่างชาวบรูไนก็ได้ เป็นชาวพุธทที่รักสงบนี่แหละดีแล้ว ไม่ต้องเคร่งศาสนาจนเกินไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะละเลยสิ่งที่ปฏิบัติได้ ผู้เขียนอยากให้ประชาชนในรัฐในอุดมคติมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน จะไม่มีคนจนในรัฐจะมีแต่คนรวยและรวยเท่าเทียมกัน สุดท้ายเลยก็อยากจะให้ประชาชนในรัฐมีความสามัคคี สมานฉันท์ รักใครปองดรองกัน เพื่อความสุขของทุกๆคน

วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

การเมืองการปกครองของไทย(มันเปนงึกๆงักๆ)






สวัสดีทุกๆท่าน และท่านอาจารย์แรกค่ะ ผู้ที่สั่งงานและให้ส่งงานในบล็อก

คือไม่เคยทำบล็อคแบบนี้มาก่อนก็เลยยังดูงงๆอยู่บ้าง

แต่ก็พยามสุดชีวิตเพื่อที่จะได้ที่จะได้เขียนบทความลงในบล็อค

ให้ทุกๆท่านๆได้อ่านกันค่ะ






อริสโตเติล (Aristotle) ปรัชญาเมธีชาวกรีกโบราณ ซึ่งได้รับยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งวิชารัฐศาสตร์” ผู้กล่าว

ไว้ว่า มนุษย์ตามธรรมชาติเป็นสัตว์การเมืองต้องอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มหรือชุมชน อันแตกต่างไปจากสัตว์

โลกอื่น ๆ ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ด้วยสัญชาตญาณเป็นหลัก หากแต่มนุษย์นอกจากจะอยู่ด้วยสัญชาตญาณแล้ว ยังมี

เป้าหมายอยู่ร่วมกันอีกด้วย มนุษย์มีการสื่อสารด้วยภาษาทำให้มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เพราะมนุษย์มี

ธรรมชาติแห่งการใช้ภาษา ดังนั้นการอยู่ร่วมกันของมนุษย์จึงมิใช่มีชีวิตอยู่ไปเพียงวันหนึ่ง ๆ เท่านั้น หากแต่
เป็นการอยู่ร่วมกันเพื่อจะให้มีชีวิตที่ดีขึ้นอีกด้วย เราก็จะมองเห็นภาพของการเมืองในแง่หนึ่งว่าการเมืองนั้นก็
คือ การอยู่ร่วมกันของมนุษย์ในชุมชนหรือสังคมเพื่อให้มีความสงบสุข สังคมที่สมบูรณ์แบบก็คือรัฐ เพราะรัฐ
มีความสมบูรณ์ในตัวเอง


การเมืองที่ทุกคนให้ความสนใจคือการปกครองระดับประเทศ อริสโตเติลแบ่งลักษณะการปกครองออกเป็น 2
ประเภท เปนรูปแบบการปกครองที่ดีและเลว คือ

1. รูปแบบการปกครองที่ดี คือ การปกครองเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ได้แก่รูปแบบราชาธิปไตย อภิชนาธิปไตย

และโพลิตี้ ส่วนรูปแบบการปกครองที่เลวคือ การปกครองส่วนรวมเพื่อประโยชน์ส่วนตน ได้แก่ รูปแบบท

รราชาธิปไตย คณาธิปไตย และประชาธิปไตย

2. รูปแบบโพลิตี้ คือรูปแบบผสมระหว่างคณาธิปไตยกับประชาธิปไตย แบ่งประชาชนออกเป็นชนชั้นคนรวย

ชนชั้นกลาง และชนชั้นคนจน

แนวคิดของอริสโตเติลในการเมือง สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของอริสโตเติลในการเสนอทางเลือก

ของรูปแบบการเมืองการปกครองที่ดีที่สุดที่เป็นไปได้ในทางปฎิบัติมากกว่ารูปแบบในอุดมคติ

ความคิดทางการเมืองของอริสโตเติล คือ คุณูปการอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์ในโลกทุกวันนี้

ถ้าจะนำการเมืองการปกครองในสมัยปัจจุบันนี้มาเปรียบเทียบกับการเมืองการปกครองของอริสโตเติลคงจะ

เป็นการปกครองที่ดูจะไม่ค่อยเหมือนกันสักเท่าไหร่นัก เพราะการปกครองมนุษย์ของอริสโตเติลเป็นการ

ปกครองที่จะทำให้มนุษย์มีความสุข ความสงบกันทั่วหน้า แต่ปัจจุบันการเมืองการปกครองของประเทศเรา

นั้นจะเป็นการแบ่งแยกตามฝ่าย ตามสี เป็นพรรคเป็นพวก ฝ่ายไหนด้านไหนมีประโยชน์ เอื้ออำนวยความ

สะดวกซึ่งกันและกันก็เห็นดีเห็นงามกัน ทำให้ขาดความสงบในชีวิต บ้านเมืองก็ไม่สงบตามไปด้วย (แล้วจะ

แบ่งฝ่ายกันทำไม) ดูเหมือนว่าถ้าเราจะนำการเมืองการปกครองของไทยไปการเมืองการปกครองโลก การ

เมืองทั้งโลกคงไปการเมืองจักรวาล (55+)

คงจะเป็นการยาก(มาก)ที่จะสรุปว่าการปกครองของใครดีที่สุด เพราะต่างก็มีข้อดีข้อเสียด้วยกันทั้งนั้น ถ้า

ขาดระบบการเมืองการปกครองก็จะทำให้บ้านเมืองของเราวุ่นวาย ไม่สงบสุข ในขณะที่สถานการณ์บ้าน

เมืองของเรากำลังไม่สงบสุข ประชาชนทั่วไปก็คงจะต้องการผู้ปกครองที่ดี ในความคิดของดิฉันคิดว่าถ้านัก

ศึกษาปรัชญาเป็นผู้มีความรู้และความสามรถมากกว่าผู้ที่เรียนสาขาวิชาอื่น เพราะปรัชญาเป็นศาสตร์ของ

ศาสตร์ทั้งหลาย ผู้ปกครองประเทศที่ดีก็ควรเรียนจบเอกศาสนาและปรัชญา(55+ ปรัชญาจะได้ยิ่งใหญ่ ไม่มี

ใครมาดูถูก) เพราะอย่างน้อยปรัชญาก็สอนให้คนดำเนินชีวิตทางสายกลาง ประเทศชาติจะได้ถูกโกงกินน้อย

ที่สุดและจะได้มีความเจริญยิ่งๆขึ้นไป (ประเทศไทยจงเจริญ)

ณ ขณะนี้คงขอตัวลาไปก่อน เพราะมีภารกิจที่ต้องทำอีกมากมาย เห้อๆ ขอขอบคุนทุกๆท่านที่อ่านมาจนจบ


หรืออาจจะไม่จบ (อาจจะไม่ได้อะไรเลย หรือได้เพียงเล้กน้อย ป่อย !! !) สวัสดีค่ะ