วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2552

หลวงประดิษฐ์มนูธรรมกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทย

ฮ่าๆๆๆ คิคักคิคัก..

เหอๆๆๆ ((เสียงหัวเราะกันอย่างสนุกสนานของเอ็มและอาร์ท))

คุณครู : เอ็ม

นักเรียน : ค่ะ (หันหน้ามาอย่างเหว๋อๆ)

คุณครู : หลวงประดิษฐ์มนูธรรมคือใคร รู้มั๊ย?

นักเรียน : ยิ้ม(ทำหน้าตากรุ้มกริ่ม หันซ้ายหันขวาเพื่อจะหาตัวช่วย แต่ก็ไม่มี) เลยตอบออกไปด้วยความ ภาคภูมิใจว่า "ไม่รู้ค่ะ" แถมยังโชว์ความรู้ที่มีอยู่เพียงน้อยนิดว่า "รู้จักแต่หลวงประดิษฐ์ไพเราะค่ะ (ตามมาด้วยเสียง หัวเราะ ฮ่าๆๆ)

คุณครู : ทำหน้าระอาเล็กน้อย คงนึกในใจว่า "ไม่รู้เรื่องแล้วยังจะคุย ไม่ฟังที่ครูสอนไอ่เด็กพวกนี้"

((แล้วคุณครูก็ถามนักเรียนอีกหลายๆคน แต่ก็ไม่มีใครสามรถตอบได้))
คุณครูจึงได้สั่งนักเรียนให้ทำการบ้านในหัวข้อต่อไปนี้ "หลวงประดิษฐ์มนูธรรมกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทย"

นักเรียน : พอรู้ว่าเป็นการบ้านก็ร้องออกไปอย่างดัง "โห่" จะรู้จักมั๊ยเนี่ย?? เขาเป็นใคร?? งง??



เอาเป็นว่าเราก็มารู้จักการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทยกันเลยแล้วกันค่ะ



การปฏิวัติสยาม พ.ศ.2547

การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 คือการปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทย จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยคณะราษฎร ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475


การเตรียมการเปลี่ยนแปลง
คณะราษฎรได้มีการประชุมเตรียมการหลายครั้ง รวมถึงได้มีการล้มเลิกแผนการบางแผนการ เช่น การเข้ายึดอำนาจในวันพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาซึ่งตรงกับวันที่ 16 มิถุนายน แต่เนื่องจากมีความเสี่ยงสูง จนกระทั่งสุดท้ายได้ข้อสรุปว่าจะดำเนินการในเช้าวันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นช่วงที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประทับที่วังไกลกังวล ทำให้เหลือข้าราชการเพียงไม่กี่คนอยู่ในกรุงเทพทำให้สามารถหลีกเลี่ยงการปะทะรุนแรงที่เสียเลือดเนื้อได้

ในการวางแผนดังกล่าวกระทำที่บ้าน ร.ท. ประยูร ภมรมนตรี ในวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2475 โดยมีเป้าหมายสำคัญในการวางแผนควบคุมสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต ซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการรักษาพระนคร โดยมีการเลื่อนวันเข้าดำเนินการหลายครั้งเพื่อความพร้อม



หมุด ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ มีข้อความว่า "...ณ ที่นี้ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เวลาย่ำรุ่ง คณะราษฎร ได้ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญ เพื่อความเจริญของชาติ"หลังจากนั้นยังได้มีการประชุมกำหนดแผนการเพิ่มเติมอีกที่บ้านพระยาทรงสุรเดช โดยมีการวางแผนว่าในวันที่ 24 มิถุนายนจะดำเนินการอย่างไร และมีการแบ่งงานให้แต่ละกลุ่ม แบ่งออกเป็น 4 หน่วยด้วยกัน คือ

หน่วยที่ 1 ทำหน้าที่ทำลายการสื่อสารและการคมนาคมที่สำคัญ เช่น โทรศัพท์ โทรเลข ดำเนินการโดยทั้งฝ่ายทหารบกและพลเรือน ทหารบกจะทำการตัดสายโทรศัพท์ของทหาร ส่วนโทรศัพท์กลางที่วัดเลียบมี นายควง อภัยวงศ์ นายประจวบ บุนนาค นายวิลาศ โอสถานนท์ ดำเนินการ โดยมีทหารเรือทำหน้าที่อารักขา ส่วนสายโทรศัพท์และสายโทรเลขตามทางรถไฟและกรมไปรษณีย์เป็นหน้าที่ของหลวงสุนทรเทพหัสดิน หม่อมหลวงอุดม สนิทวงศ์ หม่อมหลวงกรี เดชาติวงศ์ เป็นต้น ซึ่งหน่วยนี้ยังรับผิดชอบคอยกันมิให้รถไฟจากต่างจังหวัดแล่นเข้ามาด้วย โดยเริ่มงานตั้งแต่เวลา 06.00 น.

หน่วยที่ 2 เป็นหน่วยเฝ้าคุม โดยมากเป็นฝ่ายพลเรือนผสมกับทหาร ทำหน้าที่ควบคุมตัวเจ้านายและบุคคลสำคัญต่าง ๆ เช่น สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต จากวังสวนผักกาดมายังพระที่นั่งอนันตสมาคม พระประยุทธอริยั่น จากกรมทหารบางซื่อ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการวางแผนให้เตรียมรถยนต์สำหรับลากปืนใหญ่มาเตรียมตั้งพร้อมไว้โดยทำทีท่าเป็นตรวจตรารถยนต์อีกด้วย โดยหน่วยนี้ดำเนินงานโดย นายทวี บุณยเกตุ นายจรูญ สืบแสง นายตั้ว ลพานุกรม หลวงอำนวยสงคราม เป็นต้น โดยฝ่านนี้เริ่มงานตั้งแต่เวลา 01.00 น.

หน่วยที่ 3 เป็นหน่วยปฏิบัติการเคลื่อนย้ายกำลัง ซึ่งทำหน้าที่ประสานทั้งฝ่ายทหารบกและทหารเรือ เช่น ทหารเรือจะติดไฟเรือรบ และเรือยามฝั่ง ออกเตรียมปฏิบัติการณ์ตามลำน้ำได้ทันที

หน่วยที่ 4 เป็นฝ่ายที่เรียกกันว่า "มันสมอง" มี นายปรีดี พนมยงค์ เป็นหัวหน้า ทำหน้าที่ร่างคำแถลงการณ์ ร่างรัฐธรรมนูญ และหลักกฎหมายปกครองประเทศต่าง ๆ รวมทั้งการเจราจากับต่างประเทศเพื่อทำความเข้าใจภายหลังการปฏิบัติการสำเร็จแล้วแม้ว่าทางคณะราษฎรจะพยายามที่ทำลายหลักฐานต่าง ๆ แล้ว ยังมีข่าวเล็ดรอดไปยังทางตำรวจ ซึ่งได้ออกหมายจับกลุ่มผู้ก่อการ 4 คน คือ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม พ.ต. หลวงพิบูลสงคราม ร.ท. ประยูร ภมรมนตรี และ นายตั้ว ลพานุกรม อย่างไรก็ตามเมื่อนำเข้าแจ้งแก่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต ก็ถูกระงับเรื่องไว้ก่อน เนื่องจากไม่ทรงเห็นว่าน่าจะเป็นอันตราย และให้ทำการสืบสวนให้ชัดเจนก่อน


การยึดอำนาจในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475
เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎร ได้ใช้กลลวง นำทหารบกและทหารเรือมารวมตัวกันบริเวณรอบ พระที่นั่งอนันตสมาคม ประมาณ 2000 คน ตั้งแต่เวลาประมาณ 5 นาฬิกา โดยอ้างว่าเป็นการสวนสนาม จากนั้นนายพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ได้อ่าน ประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ ๑ ณ บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เสมือน ประกาศยึดอำนาจการปกครอง ก่อนจะนำกำลังแยกย้ายไปปฏิบัติการต่อไป

หลักฐานประวัติศาสตร์ในเหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นหมุดทองเหลือง ฝังอยู่กับพื้นถนน บนลานพระบรมรูปทรงม้า ด้านสนามเสือป่า


พระปฏิสันถารระหว่างสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต กับ ร้อยโทประยูร ภมรมนตรี
ในเวลาประมาณ 08.00 น. ของเช้าวันที่ 24 มิถุนายน 2475 นั้น ที่ทาง ร.ท.ประยูรร่วมกับ พ.ต.หลวงพิบูลสงครามทำหน้าที่ควบคุมตัวเจ้านายระดับสูงและบุคคลสำคัญต่าง ๆ มาไว้ในพระที่นั่งอนันตสมาคม ในส่วนของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต พระองค์ทรงมีพระปฏิสันถารกับ ร.ท.ประยูร ผู้ที่ทำการควบคุมพระองค์ไว้ ดังปรากฏในหนังสือเบื้องแรกประชาธิปไตย ที่เขียนโดย ร.ท.ประยูร เอง

ความตอนหนึ่งว่า

เวลา 08.00 น. วันที่ 24 มิ.ย. หลวงพิบูลสงครามและคณะ ได้นำจอมพลสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์...มาในรถถัง ส่งให้ที่หน้าประตูพระที่นั่งอนันตสมาคม
ข้าพเจ้าถวายคำนับ เชิญเสด็จฯ ทรงจ้องข้าพเจ้าด้วยพระเนตรดุเดือด

ตรัสว่า "ตาประยูร แกเอากับเขาจริง ๆ พระยาอธิกรณ์ประกาศ บอกฉันไม่เชื่อ ฉันตั้งชื่อทำขวัญให้แกเมื่อเกิด ฉันเลี้ยงแกมาตั้งแต่เด็ก โกรธฉันที่ไม่ไปเผาศพพ่อแกใช่ไหม"

ข้าพเจ้าเร่งให้เสด็จลงจากรถถัง ทรงสำทับถาม "จะเอาฉันไปไหน อย่าเล่นสกปรกนะ" เมื่อเข้าไปประทับในที่ประทับด้านหน้า ข้าพเจ้าสำนึก วางปืนก้มกราบขอพระราชทานอภัย

ทรงรับสั่งถาม "ใครเป็นหัวหน้า พระองค์บวรเดชใช่ไหม?"

"ยังกราบทูลไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ" ทรงกริ้ว รับสั่งหนักแน่นว่า "ตาประยูร แกเป็นกบถ โทษถึงต้องประหารชีวิต"

ทรงรับสั่งถามต่อไป "พวกแกที่ยึดอำนาจนี้ ต้องการอะไร มีความประสงค์อะไร ต้องการปาลีเมนต์ มีคอนสติติวชั่นใช่ไหม" ข้าพเจ้ากราบทูลว่า "ใช่"

ทรงนิ่งชั่วครู่ แล้วรับสั่งถามว่า "แล้วมันจะดีกว่าที่เป็นอยู่เวลานี้หรือ ตาประยูร"

"อารยประเทศทั่วโลกก็มีปาลีเมนต์กันทั่วไป ยกเว้นอาบิสซีเนีย" ข้าพเจ้ากราบทูล

ทรงถามว่าข้าพเจ้าอายุเท่าไร เมื่อข้าพเจ้ากราบทูลว่า 32 ก็รับสั่งว่า "เด็กเมื่อวานซืนนี้เอง นี่แกรู้จักคนไทยดีแล้วหรือ แกจะต้องเจอปัญหาเรื่องคน พระราชวงศ์จักรีครองเมืองมา 150 ปีแล้ว รู้ดีว่าคนไทยนี่ปกครองกันได้อย่างไร อ้ายคณะของแกจะเข็นครกขึ้นเขาไหวรึ"

ทรงถามถึงการศึกษา เมื่อกราบทูลว่าเรียนรัฐศาสตร์จากปารีส ทรงสำทับ "อ้อ มีความรู้มาก แกรู้จักโรเบสเปียมารา และกันตอง เพื่อนน้ำสบถฝรั่งเศสดีแน่ ในที่สุดมันผลัดกันเอากิโยตีน เฉือนคอกันทีละคน จำได้ไหม ฉันสงสาร ฉันเลี้ยงแกมา นี่แกเป็นกบถ รอดจากอาญาแผ่นดิน ไม่ถูกตัดหัว แต่จะต้องถูกพวกเดียวกันฆ่าตาย แกจำไว้"

ข้าพเจ้ากราบทูลว่า "ตามประวัติศาสตร์ มันจะต้องเป็นเช่นนั้น"


ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์สังคม
อาจกล่าวได้ว่า "กบฏ ร.ศ. 130" เป็นแรงขับดันให้คณะราษฎร ก่อการปฏิบัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยภายหลังการยึดอำนาจแล้ว พระยาพหลพลพยุหเสนาได้เชิญผู้นำการกบฏ ร.ศ. 130 ไปพบและกล่าวกับ ขุนทวยหาญพิทักษ์ (เหล็ง ศรีจันทร์) ว่า "ถ้าไม่มีคณะคุณ ก็เห็นจะไม่มีคณะผม" และหลวงประดิษมนูธรรมก็ได้กล่าวในโอกาสเดียวกันว่า "พวกผมถือว่าการปฏิวัติครั้งนี้เป็นการกระทำต่อเนื่องจากการกระทำเมื่อ ร.ศ. 130




ที่มา : http://www.google.com/



((ครั้งนี้ก็คงเป็นการเขียนบทความเชิงวิชาการครั้งสุดท้ายในการเรียนวิชาปรัชญาการเมืองและสังคม

ก็ขอขอบคุณทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมชม และติชมกันนะค่ะ))



วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ความยุติธรรม

"ความยุติธรรม" หากพูดถึงคำนี้ก็คงจะหาคำจำกัดความได้ยาก แต่ถ้าเป็นคำจำกัดความของตัวผู้เขียนเอง "ความยุติธรรม" ก็คงจะหมายถึง ความรู้สึกพึงพอใจ ซึ่งขึ้นอยู่กับตัวของแต่ละบุคคล เมื่อบุคคลนั้นรู้สึกพึงพอใจในสิ่งที่ตนจะกระทำ หรือสิ่งที่ตนได้รับ ก็จะทำให้บุคคลนั้นคิดว่าสิ่งที่ตนเองพอใจนั้นเป็นความยุติธรรม ขอยกตัวอย่างเพื่ออธิบายให้เห็นชัดถึงความหมายของความยุติธรรมของผู้เขียน เช่น เมื่อพี่สาวของผู้เขียนได้รับเงินจากบิดาจำนวน 1,000 บาท แต่ตัวผู้เขียนได้รับเพียง 500 บาท ความรู้สึกของผู้เขียนเองก็จะไม่พอใจที่ได้เงินน้อยกว่า ถ้าจะให้ยุติธรรมทั้งพี่สาวและตัวผู้เขียนต้องได้รับเงินเท่าๆกัน เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่เรียกว่าความยุธรรม(สำหรับตัวผู้เขียน) ความยุติธรรมของแต่ละบุคคลนั้นย่อมไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน เพราะไม่มีกฏเกณฑ์ที่ตายตัวและแน่นอน


คำว่า "ความยุติธรรม"
ในความหมายของสังคมสมัยใหม่ ก็เป็นที่น่าสงสัย ด้วยเหตุว่าในสังคมเดิมของทางตะวันออกนั้นไม่ได้มีคำนี้อยู่ หรือถ้ามีอยู่ ก็ไม่ได้มีความหมายเช่นเดียวกับสังคมสมัยใหม่ เช่นเดียวกับคำว่า "เสรีภาพ" และถ้อยคำทางนามธรรมอื่น ๆ ที่เข้ามาพร้อมกับอารยธรรมตะวันตก



อะไรคือความหมายสากลของคำว่า "ความยุติธรรม" ซึ่งนักปรัชญาถกเถียงกันมาตั้งแต่สมัยกรีก - โรมัน ซึ่งได้กลายมาเป็นแม่บทหลักของตัวบทกฎหมายในสังคมตะวันตก ซึ่งยืนพื้นอยู่บนโทษานุโทษ และซึ่งคนในปัจจุบันยอมรับ เทิดทูน และเลิกตั้งคำถามเลิกค้นหาความหมายของมันแล้ว ด้วยถือว่ารู้ซึ้งกระจ่าง แต่ความซึ้งกระจ่างนั้นคือสิ่งใดเล่า?



ความยุติธรรมในทางนิติศาสตร์นั้น ได้กลายเป็นสิ่งที่แข็งทื่อ ตายตัว หมดสิ้นความหลากไหลลุ่มลึกอีกต่อไป มันได้กลายเป็นข้ออ้างและเล่ห์เหลี่ยมของนักกฎหมาย ได้กลายเป็นแค่วาทศิลป์และการเล่นลิ้น มันได้กลายเป็นแค่กฎเหล็กของผู้ต่ำต้อย และกลายเป็นแค่ของเล่นของผู้มีอำนาจ มันได้กลายเป็นแค่การแก้แค้น เป็นอาญาและการลงทัณฑ์ เป็นความคับแคบตายตัวซึ่งไม่มีทางจะบรรลุความเป็นสากลอันกว้างใหญ่ไพศาลได้



มนุษย์ได้สร้างระบบซึ่งเรียกว่ากระบวนการยุติธรรมขึ้น ได้ร่างตัวบทกฎหมายขึ้น โดยหวังให้มันเป็นหลักสากลและครอบคลุมทุกสิ่ง ทว่าสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นกลับไม่อาจเทียบเคียงได้เลยกับผลงานสร้างสรรค์ในธรรมชาติ ไม่อาจเทียบเคียงได้แม้กับน้ำสักหยดหนึ่ง หรือใบหญ้าสักใบ มนุษย์พยายามจะพูดถึงความกว้างใหญ่ไพศาลและความเป็นสากล แต่เขากลับจบลงตรงการตีกรอบแคบ ๆ ให้แก่สิ่งเหล่านั้น และในความพยายามอันไร้สาระของเขา ก็ได้กลายเป็นระบบอันไร้สาระต่าง ๆ ซึ่งครอบงำอยู่เหนือวิถีชีวิตของผู้คนในทุกวันนี้



"ความยุติธรรม"
จะมีความหมายและใช้การได้อย่างแท้จริง ก็ต่อเมื่อมันเป็นผลพวงของปรีชาญาณผสานกับจารีตประเพณีและหลักธรรมความเชื่อของแต่ละท้องถิ่น และแม้ว่าความยุติธรรมจะเป็นนามธรรมสากล แต่ความหมายของมันกลับดำรงอยู่ในหลากหลายมิติยิ่ง เช่นเดียวกับนามธรรมประการอื่น ๆ ซึ่งมนุษย์อาจดึงเอาแง่มุมใดแง่มุมหนึ่งมาใช้อย่างได้ผลภายใต้สถานการณ์ต่าง ๆ กันไป



ด้วยเหตุนี้เองมันจึงเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาร่วมไปกับชีวิตอย่างลุ่มลึกแนบชิด และคงความเป็นนามธรรมอันแท้จริงไว้ได้ เมื่อมีปัญหาหรือความขัดแย้งใด ๆ เกิดขึ้น ความยุติธรรมคือตัวประสาน หรือเครื่องสมานให้กลับไปบรรจบพบกันในความกลมกลืนอีกครั้ง เอกภาพและความกลมกลืนซึ่งเป็นอีกความหมายหนึ่งของมัน ซึ่งทุกฝ่ายต่างยอมรับและพอใจ ด้วยเหตุว่าความกลมกลืนนั้นเป็นอุดมคติของคนในทุกสังคม ดังนั้นเองจึงเป็นข้อยุติของความยุติธรรม หรือธรรมอันเป็นเครื่องยุติ

วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

รัฐในอุดมคติ

4 เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ก็ขอสวัสดีท่านอาจารย์ยิ่งยศและผู้ที่ติดตามบล็อคนี้ทุกท่านนะค่ะ
วันนี้ขอขึ้นต้นด้วยคำคมทางปรัชญากันนิดนึงค่ะ เพราะในหัวข้อที่แล้วซึ่งเป็นหัวข้อแรกเลยในการเริ่มทำบล็อค ทำให้มีข้อมูลผิดพลาดกันอยู่บ้าง จึงนำเอาคำคมมาเปรียบเทียบกับตัวผู้เขียนเองว่าเมื่อ 4 เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง และจะนับประสาอะไรกับนิสิตตาดำๆที่ความรู้น้อยและด้อยประสบการณ์คนนี้ล่ะค่ะ ก็ต้องมีการผิดพลาดกันบ้างเป็นของของธรรมดา และด้วยเวลาที่ตัวผู้เขียนเองค่อนข้างมีจำกัด เนื่องจากไม่มีคอมพิวเตอร์ส่วนตัว บางทีก็ขอยืมเพื่อนบ้าง หรือบางทีก็ใช้คอมพิวเตอร์ส่วนรวม ได้ยืนเล่นบ้าง นั่งเล่นบ้าง แล้วแต่โชคชะตาจะเอื้ออำนวยค่ะ แม้จะมีข้อผิดพลาด แต่ผู้เขียนก็จะพยายามปรับปรุงแก้ไข ถามผู้ที่มีความรู้และผู้ที่มีประสบการณ์ และจะทำให้เกิดข้อผิดพลาดน้อยที่สุดค่ะ
รัฐในอุดมคติ
ถ้าพูดถึงรัฐในอุดมคติแล้ว ตัวผู้เขียนเองอาจจะบอกได้อย่างไม่มั่นใจว่ารัฐหรือระบบการปกครองแบบไหนดีที่สุด เพราะตัวผู้เขียนนั้นเป็นผู้ที่อ่านหนังสือเกี่ยวกับการเมือง การปกครองน้อย แต่เท่าที่ได้อ่านและได้ศึกษาดู ก็คงอยากจะให้เป็นเหมือนกับประเทศบรูไน เนื่องจากประเทศบรูไนปัจจุบันเป็นประเทศเล็กๆในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่เนื่องด้วยทรัพยากรที่มีศักภาพสูงในสายตาชาวโลก โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจ
องค์สุลต่าน เซอร์ มูดา หะซะนัล โบลกียะฮ์ ซึ่งเป็นองค์สุลต่านของประเทศบรูไน นอกจากจะดำรงตำแหน่งประมุขของประเทศทั้งทางการเมืองและศาสนา และพระองค์ทรงมีบทบาทมากในฐานะผู้นำของประเทศในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม จนแทบเรียกได้ว่าประเทศบรูไนปัจจุบันยังมีการปกครองโดยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อยู่ ทั้งนี้ก็คงเป็นเพราะองค์สุลต่านทรงเป็นผู้จัดวางนโยบาย ทรงบริหารและทรงควบคุมดูแลบ้านเมืองโดยพระองค์เองทั้งสิ้น โดยมีเชื้อพระวงศ์ที่ใกล้ชิดเป็นผู้ช่วย ที่น่าสังเกตสำหรับบทบาทขององค์สุลต่านผู้ปกครองบรูไน คือ แม้พระองค์จะทรงใช้พระราชอำนาจอย่างเต็มที่ในการปกครองตามรูปแบบของการปกครองสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็ตาม แต่ก็ไม่เคยเกิดปัญหาร้ายแรง คงเป็นเพราะทรงมีความสามารถในการปกครองและการบริหารประเทศ ที่ทำให้ประชาชนเห็นว่าทรงทำทุกอย่างเพื่อให้ประชานมีการดำรงชีวิตที่ดีที่สุดในทุกๆด้าน แม้จะทรงได้รับการวิพากษ์วิจารณ์บ้างว่าการดำเนินนโยบายบางประการของพระองค์โดยเฉพาะด้านการเมืองเศรษฐกิจจะทำเพื่อพระองค์เองก็ตาม
ด้านการเมือง
องค์สุลต่านองค์ปัจจุบันทรงมีบทบาทมาก พระองค์ทรงปฏิบัติภารกิจทางด้านนี้อย่างเต็มที่ เริ่มจากการเสนอหลักการปกครองประเทศที่ทรงย้ำว่าให้ชาวบรูไนเป็นสาระสำคัญที่พึงยึดถือยึดปฏิบัติ และพึงมีความศรัทธาอย่างไม่ต้องมีข้อสงสัย ซึ่งได้รับการยอมรับจากประชาชนเป็นอย่างดี คือ หลักไตรลักษณ์ ลักษณะสำคัญของหลักนี้มีความหมายว่า หลักสำคัญที่ชาวบรูไนควรยึดถือคือ องค์สุลต่านเป็นประมุขของประเทศ ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ และชาวมาเลย์เป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ แม้จะเห็นว่าองค์สุลต่านจะมีอำนาจเต็มที่ทางการเมือง แต่พระองค์ก็ทรงเปิดโอกาสให้ชาวบรูไนมีส่วนร่วมในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย คือ สามารถตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาได้เช่น พรรคประชาธิปไตยแห่งบรูไน และพรรคสหชาติบรูไน จุดมุ่งหมายของทั้งสองพรรคมีแนวนโยบายที่คล้ายคลึงกัน คือ ต้องการปลุกประชาชนให้ตื่นตัวในระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย ซึ่งนับว่าค่อนข้างจะท้าทายอำนาจการปกครองระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ทำให้องค์สุลต่านใช้พระราชอำนาจในฐานะผู้นำของรัฐบาลประกาศยุบพรรคการเมืองภายใต้กฎอัยการศึก การกระทำในลักษณะนี้ขององค์สุลต่านไม่ปรากฎว่าไม่ได้รับผลสะท้อนมาจากประชาชนเลย เพราะประชาชนชาวบรูไนไม่นิยมระบบพรรคการเมือง
ด้านศาสนา
ทรงให้ความสำคัญกับศาสนามาเป็นอันดับหนึ่งในการบริหารประเทศ เพราะทรงแสดงออกอย่างเด่นชัดว่า ทรงไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้ชาวบรูไนรับวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาในประเทศ เพราะทรงเห็นว่าวัฒนธรรมตะวันตกสมัยใหม่จะทำให้เกิดสิ่งไม่ดีต่างๆกับชาวบรูไน เช่น จะทำให้ชาวบรูไนชอบการเที่ยวเตร่ ชอบการดื่มสุรา และนำมาซึ่งการละเลยกิจวัตรที่ดีงามของศาสนาอิสลาม ดังนั้นพระองค์จึงใช้วิธีเข้มงวดกวดขันการเข้ามาสู่บรูไนของวัฒนธรรมตะวันตกจากฝ่ายที่รับผิดชอบด้านศาสนา เพื่อจะให้ประชาชนชาวบรูไนได้รับการปลูกฝังตามวัฒนธรรมที่ดีงามของศาสนาอิสลาม นอกจากนี้ รัฐก็พยายามที่จะสร้างมหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้น เพื่อยกระดับการศึกษาของประชาชนให้สูงขึ้น เพราะรัฐบาลของบรูไนไม่นิยมส่งนัศึกษาไปต่างประเทศ เนื่องจากมีความหวาดระแวงว่าจะละทิ้งขนบธรรมเนียมและชักนำวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาสู่สังคมอิสลามของบรูไน
ด้านสังคม
ประชาชนชาวบรูไนได้ชื่อว่าโชคดีที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับประชาชนในประเทศต่างๆของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยกันคือ ชาวบรูไนจะได้รับบริการและสวัสดิการในทุกๆด้านจากรัฐอย่างเต็มที่ ตั้งแต่เกิดจนตายเลยทีเดียว คือ ตั้งแต่การศึกษา การรักษาพยาบาล ที่อยู่อาศัยโดยรัฐจะบริการหาให้โดยคิดดอกเบี้ยในอัตตราที่ต่ำมาก บางกรณีถึงขั้นให้อยู่ฟรี ภาครัฐและเอกชนจะมีงานให้ประชาชนทำอย่างเหลือเฟือ โดยรัฐจะคอยสอดส่องดูแลเรื่องค่าตอบแทนที่จะได้รับหลังเกษียณแล้ว โดยตั้งกองทุนสำหรับลูกจ้างที่เป็นชาวบรูไนหรือพวกที่มาอยู่ในบรูไนอย่างถาวร มีอายุไม่ต่ำกว่า 55 ปี เป็นผู้ที่ไม่มีสิทธิได้รับเงินบำนาญหรือเงินใดๆจากทางบริษัท โดยผู้ที่สมัครเข้าเป็นสมาชิกของกองทุนจะต้องเสียสละเงินร้อยละ 5 ของเงินเดือนของเงินเดือนของตน ฝากไว้กับกองทุนนี้และบริษัทผู้จ้างจะจ่ายเพิ่มให้อีกร้อยละ 5 รวมเป็นเงินสะสมรายเดือนร้อยละ 10 ของเงินเดือน รัฐจะนำไปทำให้งอกเงยและเกิดผลกำไรเพื่อนำมาจ่ายคืนให้กับสมาชิก จะเบิกได้เมืออายุครบ 50 ปี ส่วนผลทางอ้อมที่รัฐบาลมุ่งหวังก็คือต้องการจะให้ประชาชนชาวบรูไนหันไปทำงานกับภาคเอกชนมากขึ้น เพราะแต่เดิมชาวบรูไนพอใจที่จะเป็นข้าราชการมากกว่าที่จะเป็นลูกจ้างของเอกชน เนื่องจากเห็นว่าภาครัฐให้ทั้งเงินเดือนและสวัสดิการที่ดีกว่าภาคเอกชน และอีกประการหนึ่งที่รัฐบาลหวังที่จะสร้างนิสัยการออมทรัพย์ให้เกิดขึ้นกับประชานชนอีกด้วย ในขณะเดียวกัน เงินทุนตามโครงการนี้ก็จะไปเป็นเงินทุนของรัฐไปพร้อมๆกัน
ด้านเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจของประเทศบรูไนยังคงผูกขาดอยู่กับน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นผลผลิตประมาณ 72 % ของผลผลิตทั้งหมดภายในประเทศ และ 99% ของการส่งออก ประเทศบรูไนมีรายได้จากทรัพยากรทั้งหมดของประเทศเพราะยังมีปริมาณคงเหลืออยู่ในประเทศอย่างเหลือเฟือ ฉะนั้นผลกระทบโดยรวมทั้งหมดของประเทศบรูไน จึงยังไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
สาเหตุที่รัฐในอุดมคติเป็นเหมือนประเทศบรูไน อย่างแรกเลยคิดว่าเป็นประเทศที่ เจ๋ง และรวย เป็นประเทศที่มีประชากรน้อย มีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก จึงทำให้ประเทศบรูไนเป็นประเทศที่น่าสนในจึงหยิบยกขึ้นมาเป็นตัวอย่าง และมีความคิดว่ารัฐในอุดมคติของผู้เขียนก็อยากให้เป็นแบบประเทศบรูไนบ้าง เนื่องจากมีการค้าน้ำมัน และผลิตน้ำมันได้เอง ทำให้เป็นประเทศที่มีฐานะทางการเงินดี หรือรวยนั่นเอง ถ้ารัฐในอดมคติจะเป็นไปได้ก็อยากให้ผู้ปกครองรัฐเห็นแก่ประชาชนส่วนใหญ่เป็นสำคัญ และให้การช่วยเหลือประชาชนเหมือนที่ชาวบรูไนได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาล แต่สิ่งที่รัฐในอุดมคติไม่อยากให้เป็นเหมือนกับประเทศบรูไนก็คือทางด้านศาสนา ไม่ต้องเคร่งครัดศาสนาอย่างชาวบรูไนก็ได้ เป็นชาวพุธทที่รักสงบนี่แหละดีแล้ว ไม่ต้องเคร่งศาสนาจนเกินไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะละเลยสิ่งที่ปฏิบัติได้ ผู้เขียนอยากให้ประชาชนในรัฐในอุดมคติมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน จะไม่มีคนจนในรัฐจะมีแต่คนรวยและรวยเท่าเทียมกัน สุดท้ายเลยก็อยากจะให้ประชาชนในรัฐมีความสามัคคี สมานฉันท์ รักใครปองดรองกัน เพื่อความสุขของทุกๆคน

วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

การเมืองการปกครองของไทย(มันเปนงึกๆงักๆ)






สวัสดีทุกๆท่าน และท่านอาจารย์แรกค่ะ ผู้ที่สั่งงานและให้ส่งงานในบล็อก

คือไม่เคยทำบล็อคแบบนี้มาก่อนก็เลยยังดูงงๆอยู่บ้าง

แต่ก็พยามสุดชีวิตเพื่อที่จะได้ที่จะได้เขียนบทความลงในบล็อค

ให้ทุกๆท่านๆได้อ่านกันค่ะ






อริสโตเติล (Aristotle) ปรัชญาเมธีชาวกรีกโบราณ ซึ่งได้รับยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งวิชารัฐศาสตร์” ผู้กล่าว

ไว้ว่า มนุษย์ตามธรรมชาติเป็นสัตว์การเมืองต้องอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มหรือชุมชน อันแตกต่างไปจากสัตว์

โลกอื่น ๆ ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ด้วยสัญชาตญาณเป็นหลัก หากแต่มนุษย์นอกจากจะอยู่ด้วยสัญชาตญาณแล้ว ยังมี

เป้าหมายอยู่ร่วมกันอีกด้วย มนุษย์มีการสื่อสารด้วยภาษาทำให้มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เพราะมนุษย์มี

ธรรมชาติแห่งการใช้ภาษา ดังนั้นการอยู่ร่วมกันของมนุษย์จึงมิใช่มีชีวิตอยู่ไปเพียงวันหนึ่ง ๆ เท่านั้น หากแต่
เป็นการอยู่ร่วมกันเพื่อจะให้มีชีวิตที่ดีขึ้นอีกด้วย เราก็จะมองเห็นภาพของการเมืองในแง่หนึ่งว่าการเมืองนั้นก็
คือ การอยู่ร่วมกันของมนุษย์ในชุมชนหรือสังคมเพื่อให้มีความสงบสุข สังคมที่สมบูรณ์แบบก็คือรัฐ เพราะรัฐ
มีความสมบูรณ์ในตัวเอง


การเมืองที่ทุกคนให้ความสนใจคือการปกครองระดับประเทศ อริสโตเติลแบ่งลักษณะการปกครองออกเป็น 2
ประเภท เปนรูปแบบการปกครองที่ดีและเลว คือ

1. รูปแบบการปกครองที่ดี คือ การปกครองเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ได้แก่รูปแบบราชาธิปไตย อภิชนาธิปไตย

และโพลิตี้ ส่วนรูปแบบการปกครองที่เลวคือ การปกครองส่วนรวมเพื่อประโยชน์ส่วนตน ได้แก่ รูปแบบท

รราชาธิปไตย คณาธิปไตย และประชาธิปไตย

2. รูปแบบโพลิตี้ คือรูปแบบผสมระหว่างคณาธิปไตยกับประชาธิปไตย แบ่งประชาชนออกเป็นชนชั้นคนรวย

ชนชั้นกลาง และชนชั้นคนจน

แนวคิดของอริสโตเติลในการเมือง สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของอริสโตเติลในการเสนอทางเลือก

ของรูปแบบการเมืองการปกครองที่ดีที่สุดที่เป็นไปได้ในทางปฎิบัติมากกว่ารูปแบบในอุดมคติ

ความคิดทางการเมืองของอริสโตเติล คือ คุณูปการอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์ในโลกทุกวันนี้

ถ้าจะนำการเมืองการปกครองในสมัยปัจจุบันนี้มาเปรียบเทียบกับการเมืองการปกครองของอริสโตเติลคงจะ

เป็นการปกครองที่ดูจะไม่ค่อยเหมือนกันสักเท่าไหร่นัก เพราะการปกครองมนุษย์ของอริสโตเติลเป็นการ

ปกครองที่จะทำให้มนุษย์มีความสุข ความสงบกันทั่วหน้า แต่ปัจจุบันการเมืองการปกครองของประเทศเรา

นั้นจะเป็นการแบ่งแยกตามฝ่าย ตามสี เป็นพรรคเป็นพวก ฝ่ายไหนด้านไหนมีประโยชน์ เอื้ออำนวยความ

สะดวกซึ่งกันและกันก็เห็นดีเห็นงามกัน ทำให้ขาดความสงบในชีวิต บ้านเมืองก็ไม่สงบตามไปด้วย (แล้วจะ

แบ่งฝ่ายกันทำไม) ดูเหมือนว่าถ้าเราจะนำการเมืองการปกครองของไทยไปการเมืองการปกครองโลก การ

เมืองทั้งโลกคงไปการเมืองจักรวาล (55+)

คงจะเป็นการยาก(มาก)ที่จะสรุปว่าการปกครองของใครดีที่สุด เพราะต่างก็มีข้อดีข้อเสียด้วยกันทั้งนั้น ถ้า

ขาดระบบการเมืองการปกครองก็จะทำให้บ้านเมืองของเราวุ่นวาย ไม่สงบสุข ในขณะที่สถานการณ์บ้าน

เมืองของเรากำลังไม่สงบสุข ประชาชนทั่วไปก็คงจะต้องการผู้ปกครองที่ดี ในความคิดของดิฉันคิดว่าถ้านัก

ศึกษาปรัชญาเป็นผู้มีความรู้และความสามรถมากกว่าผู้ที่เรียนสาขาวิชาอื่น เพราะปรัชญาเป็นศาสตร์ของ

ศาสตร์ทั้งหลาย ผู้ปกครองประเทศที่ดีก็ควรเรียนจบเอกศาสนาและปรัชญา(55+ ปรัชญาจะได้ยิ่งใหญ่ ไม่มี

ใครมาดูถูก) เพราะอย่างน้อยปรัชญาก็สอนให้คนดำเนินชีวิตทางสายกลาง ประเทศชาติจะได้ถูกโกงกินน้อย

ที่สุดและจะได้มีความเจริญยิ่งๆขึ้นไป (ประเทศไทยจงเจริญ)

ณ ขณะนี้คงขอตัวลาไปก่อน เพราะมีภารกิจที่ต้องทำอีกมากมาย เห้อๆ ขอขอบคุนทุกๆท่านที่อ่านมาจนจบ


หรืออาจจะไม่จบ (อาจจะไม่ได้อะไรเลย หรือได้เพียงเล้กน้อย ป่อย !! !) สวัสดีค่ะ