วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2552

หลวงประดิษฐ์มนูธรรมกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทย

ฮ่าๆๆๆ คิคักคิคัก..

เหอๆๆๆ ((เสียงหัวเราะกันอย่างสนุกสนานของเอ็มและอาร์ท))

คุณครู : เอ็ม

นักเรียน : ค่ะ (หันหน้ามาอย่างเหว๋อๆ)

คุณครู : หลวงประดิษฐ์มนูธรรมคือใคร รู้มั๊ย?

นักเรียน : ยิ้ม(ทำหน้าตากรุ้มกริ่ม หันซ้ายหันขวาเพื่อจะหาตัวช่วย แต่ก็ไม่มี) เลยตอบออกไปด้วยความ ภาคภูมิใจว่า "ไม่รู้ค่ะ" แถมยังโชว์ความรู้ที่มีอยู่เพียงน้อยนิดว่า "รู้จักแต่หลวงประดิษฐ์ไพเราะค่ะ (ตามมาด้วยเสียง หัวเราะ ฮ่าๆๆ)

คุณครู : ทำหน้าระอาเล็กน้อย คงนึกในใจว่า "ไม่รู้เรื่องแล้วยังจะคุย ไม่ฟังที่ครูสอนไอ่เด็กพวกนี้"

((แล้วคุณครูก็ถามนักเรียนอีกหลายๆคน แต่ก็ไม่มีใครสามรถตอบได้))
คุณครูจึงได้สั่งนักเรียนให้ทำการบ้านในหัวข้อต่อไปนี้ "หลวงประดิษฐ์มนูธรรมกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทย"

นักเรียน : พอรู้ว่าเป็นการบ้านก็ร้องออกไปอย่างดัง "โห่" จะรู้จักมั๊ยเนี่ย?? เขาเป็นใคร?? งง??



เอาเป็นว่าเราก็มารู้จักการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทยกันเลยแล้วกันค่ะ



การปฏิวัติสยาม พ.ศ.2547

การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 คือการปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทย จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยคณะราษฎร ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475


การเตรียมการเปลี่ยนแปลง
คณะราษฎรได้มีการประชุมเตรียมการหลายครั้ง รวมถึงได้มีการล้มเลิกแผนการบางแผนการ เช่น การเข้ายึดอำนาจในวันพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาซึ่งตรงกับวันที่ 16 มิถุนายน แต่เนื่องจากมีความเสี่ยงสูง จนกระทั่งสุดท้ายได้ข้อสรุปว่าจะดำเนินการในเช้าวันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นช่วงที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประทับที่วังไกลกังวล ทำให้เหลือข้าราชการเพียงไม่กี่คนอยู่ในกรุงเทพทำให้สามารถหลีกเลี่ยงการปะทะรุนแรงที่เสียเลือดเนื้อได้

ในการวางแผนดังกล่าวกระทำที่บ้าน ร.ท. ประยูร ภมรมนตรี ในวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2475 โดยมีเป้าหมายสำคัญในการวางแผนควบคุมสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต ซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการรักษาพระนคร โดยมีการเลื่อนวันเข้าดำเนินการหลายครั้งเพื่อความพร้อม



หมุด ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ มีข้อความว่า "...ณ ที่นี้ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เวลาย่ำรุ่ง คณะราษฎร ได้ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญ เพื่อความเจริญของชาติ"หลังจากนั้นยังได้มีการประชุมกำหนดแผนการเพิ่มเติมอีกที่บ้านพระยาทรงสุรเดช โดยมีการวางแผนว่าในวันที่ 24 มิถุนายนจะดำเนินการอย่างไร และมีการแบ่งงานให้แต่ละกลุ่ม แบ่งออกเป็น 4 หน่วยด้วยกัน คือ

หน่วยที่ 1 ทำหน้าที่ทำลายการสื่อสารและการคมนาคมที่สำคัญ เช่น โทรศัพท์ โทรเลข ดำเนินการโดยทั้งฝ่ายทหารบกและพลเรือน ทหารบกจะทำการตัดสายโทรศัพท์ของทหาร ส่วนโทรศัพท์กลางที่วัดเลียบมี นายควง อภัยวงศ์ นายประจวบ บุนนาค นายวิลาศ โอสถานนท์ ดำเนินการ โดยมีทหารเรือทำหน้าที่อารักขา ส่วนสายโทรศัพท์และสายโทรเลขตามทางรถไฟและกรมไปรษณีย์เป็นหน้าที่ของหลวงสุนทรเทพหัสดิน หม่อมหลวงอุดม สนิทวงศ์ หม่อมหลวงกรี เดชาติวงศ์ เป็นต้น ซึ่งหน่วยนี้ยังรับผิดชอบคอยกันมิให้รถไฟจากต่างจังหวัดแล่นเข้ามาด้วย โดยเริ่มงานตั้งแต่เวลา 06.00 น.

หน่วยที่ 2 เป็นหน่วยเฝ้าคุม โดยมากเป็นฝ่ายพลเรือนผสมกับทหาร ทำหน้าที่ควบคุมตัวเจ้านายและบุคคลสำคัญต่าง ๆ เช่น สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต จากวังสวนผักกาดมายังพระที่นั่งอนันตสมาคม พระประยุทธอริยั่น จากกรมทหารบางซื่อ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการวางแผนให้เตรียมรถยนต์สำหรับลากปืนใหญ่มาเตรียมตั้งพร้อมไว้โดยทำทีท่าเป็นตรวจตรารถยนต์อีกด้วย โดยหน่วยนี้ดำเนินงานโดย นายทวี บุณยเกตุ นายจรูญ สืบแสง นายตั้ว ลพานุกรม หลวงอำนวยสงคราม เป็นต้น โดยฝ่านนี้เริ่มงานตั้งแต่เวลา 01.00 น.

หน่วยที่ 3 เป็นหน่วยปฏิบัติการเคลื่อนย้ายกำลัง ซึ่งทำหน้าที่ประสานทั้งฝ่ายทหารบกและทหารเรือ เช่น ทหารเรือจะติดไฟเรือรบ และเรือยามฝั่ง ออกเตรียมปฏิบัติการณ์ตามลำน้ำได้ทันที

หน่วยที่ 4 เป็นฝ่ายที่เรียกกันว่า "มันสมอง" มี นายปรีดี พนมยงค์ เป็นหัวหน้า ทำหน้าที่ร่างคำแถลงการณ์ ร่างรัฐธรรมนูญ และหลักกฎหมายปกครองประเทศต่าง ๆ รวมทั้งการเจราจากับต่างประเทศเพื่อทำความเข้าใจภายหลังการปฏิบัติการสำเร็จแล้วแม้ว่าทางคณะราษฎรจะพยายามที่ทำลายหลักฐานต่าง ๆ แล้ว ยังมีข่าวเล็ดรอดไปยังทางตำรวจ ซึ่งได้ออกหมายจับกลุ่มผู้ก่อการ 4 คน คือ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม พ.ต. หลวงพิบูลสงคราม ร.ท. ประยูร ภมรมนตรี และ นายตั้ว ลพานุกรม อย่างไรก็ตามเมื่อนำเข้าแจ้งแก่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต ก็ถูกระงับเรื่องไว้ก่อน เนื่องจากไม่ทรงเห็นว่าน่าจะเป็นอันตราย และให้ทำการสืบสวนให้ชัดเจนก่อน


การยึดอำนาจในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475
เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎร ได้ใช้กลลวง นำทหารบกและทหารเรือมารวมตัวกันบริเวณรอบ พระที่นั่งอนันตสมาคม ประมาณ 2000 คน ตั้งแต่เวลาประมาณ 5 นาฬิกา โดยอ้างว่าเป็นการสวนสนาม จากนั้นนายพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ได้อ่าน ประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ ๑ ณ บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เสมือน ประกาศยึดอำนาจการปกครอง ก่อนจะนำกำลังแยกย้ายไปปฏิบัติการต่อไป

หลักฐานประวัติศาสตร์ในเหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นหมุดทองเหลือง ฝังอยู่กับพื้นถนน บนลานพระบรมรูปทรงม้า ด้านสนามเสือป่า


พระปฏิสันถารระหว่างสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต กับ ร้อยโทประยูร ภมรมนตรี
ในเวลาประมาณ 08.00 น. ของเช้าวันที่ 24 มิถุนายน 2475 นั้น ที่ทาง ร.ท.ประยูรร่วมกับ พ.ต.หลวงพิบูลสงครามทำหน้าที่ควบคุมตัวเจ้านายระดับสูงและบุคคลสำคัญต่าง ๆ มาไว้ในพระที่นั่งอนันตสมาคม ในส่วนของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต พระองค์ทรงมีพระปฏิสันถารกับ ร.ท.ประยูร ผู้ที่ทำการควบคุมพระองค์ไว้ ดังปรากฏในหนังสือเบื้องแรกประชาธิปไตย ที่เขียนโดย ร.ท.ประยูร เอง

ความตอนหนึ่งว่า

เวลา 08.00 น. วันที่ 24 มิ.ย. หลวงพิบูลสงครามและคณะ ได้นำจอมพลสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์...มาในรถถัง ส่งให้ที่หน้าประตูพระที่นั่งอนันตสมาคม
ข้าพเจ้าถวายคำนับ เชิญเสด็จฯ ทรงจ้องข้าพเจ้าด้วยพระเนตรดุเดือด

ตรัสว่า "ตาประยูร แกเอากับเขาจริง ๆ พระยาอธิกรณ์ประกาศ บอกฉันไม่เชื่อ ฉันตั้งชื่อทำขวัญให้แกเมื่อเกิด ฉันเลี้ยงแกมาตั้งแต่เด็ก โกรธฉันที่ไม่ไปเผาศพพ่อแกใช่ไหม"

ข้าพเจ้าเร่งให้เสด็จลงจากรถถัง ทรงสำทับถาม "จะเอาฉันไปไหน อย่าเล่นสกปรกนะ" เมื่อเข้าไปประทับในที่ประทับด้านหน้า ข้าพเจ้าสำนึก วางปืนก้มกราบขอพระราชทานอภัย

ทรงรับสั่งถาม "ใครเป็นหัวหน้า พระองค์บวรเดชใช่ไหม?"

"ยังกราบทูลไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ" ทรงกริ้ว รับสั่งหนักแน่นว่า "ตาประยูร แกเป็นกบถ โทษถึงต้องประหารชีวิต"

ทรงรับสั่งถามต่อไป "พวกแกที่ยึดอำนาจนี้ ต้องการอะไร มีความประสงค์อะไร ต้องการปาลีเมนต์ มีคอนสติติวชั่นใช่ไหม" ข้าพเจ้ากราบทูลว่า "ใช่"

ทรงนิ่งชั่วครู่ แล้วรับสั่งถามว่า "แล้วมันจะดีกว่าที่เป็นอยู่เวลานี้หรือ ตาประยูร"

"อารยประเทศทั่วโลกก็มีปาลีเมนต์กันทั่วไป ยกเว้นอาบิสซีเนีย" ข้าพเจ้ากราบทูล

ทรงถามว่าข้าพเจ้าอายุเท่าไร เมื่อข้าพเจ้ากราบทูลว่า 32 ก็รับสั่งว่า "เด็กเมื่อวานซืนนี้เอง นี่แกรู้จักคนไทยดีแล้วหรือ แกจะต้องเจอปัญหาเรื่องคน พระราชวงศ์จักรีครองเมืองมา 150 ปีแล้ว รู้ดีว่าคนไทยนี่ปกครองกันได้อย่างไร อ้ายคณะของแกจะเข็นครกขึ้นเขาไหวรึ"

ทรงถามถึงการศึกษา เมื่อกราบทูลว่าเรียนรัฐศาสตร์จากปารีส ทรงสำทับ "อ้อ มีความรู้มาก แกรู้จักโรเบสเปียมารา และกันตอง เพื่อนน้ำสบถฝรั่งเศสดีแน่ ในที่สุดมันผลัดกันเอากิโยตีน เฉือนคอกันทีละคน จำได้ไหม ฉันสงสาร ฉันเลี้ยงแกมา นี่แกเป็นกบถ รอดจากอาญาแผ่นดิน ไม่ถูกตัดหัว แต่จะต้องถูกพวกเดียวกันฆ่าตาย แกจำไว้"

ข้าพเจ้ากราบทูลว่า "ตามประวัติศาสตร์ มันจะต้องเป็นเช่นนั้น"


ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์สังคม
อาจกล่าวได้ว่า "กบฏ ร.ศ. 130" เป็นแรงขับดันให้คณะราษฎร ก่อการปฏิบัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยภายหลังการยึดอำนาจแล้ว พระยาพหลพลพยุหเสนาได้เชิญผู้นำการกบฏ ร.ศ. 130 ไปพบและกล่าวกับ ขุนทวยหาญพิทักษ์ (เหล็ง ศรีจันทร์) ว่า "ถ้าไม่มีคณะคุณ ก็เห็นจะไม่มีคณะผม" และหลวงประดิษมนูธรรมก็ได้กล่าวในโอกาสเดียวกันว่า "พวกผมถือว่าการปฏิวัติครั้งนี้เป็นการกระทำต่อเนื่องจากการกระทำเมื่อ ร.ศ. 130




ที่มา : http://www.google.com/



((ครั้งนี้ก็คงเป็นการเขียนบทความเชิงวิชาการครั้งสุดท้ายในการเรียนวิชาปรัชญาการเมืองและสังคม

ก็ขอขอบคุณทุกๆท่านที่เข้ามาเยี่ยมชม และติชมกันนะค่ะ))



วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ความยุติธรรม

"ความยุติธรรม" หากพูดถึงคำนี้ก็คงจะหาคำจำกัดความได้ยาก แต่ถ้าเป็นคำจำกัดความของตัวผู้เขียนเอง "ความยุติธรรม" ก็คงจะหมายถึง ความรู้สึกพึงพอใจ ซึ่งขึ้นอยู่กับตัวของแต่ละบุคคล เมื่อบุคคลนั้นรู้สึกพึงพอใจในสิ่งที่ตนจะกระทำ หรือสิ่งที่ตนได้รับ ก็จะทำให้บุคคลนั้นคิดว่าสิ่งที่ตนเองพอใจนั้นเป็นความยุติธรรม ขอยกตัวอย่างเพื่ออธิบายให้เห็นชัดถึงความหมายของความยุติธรรมของผู้เขียน เช่น เมื่อพี่สาวของผู้เขียนได้รับเงินจากบิดาจำนวน 1,000 บาท แต่ตัวผู้เขียนได้รับเพียง 500 บาท ความรู้สึกของผู้เขียนเองก็จะไม่พอใจที่ได้เงินน้อยกว่า ถ้าจะให้ยุติธรรมทั้งพี่สาวและตัวผู้เขียนต้องได้รับเงินเท่าๆกัน เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่เรียกว่าความยุธรรม(สำหรับตัวผู้เขียน) ความยุติธรรมของแต่ละบุคคลนั้นย่อมไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน เพราะไม่มีกฏเกณฑ์ที่ตายตัวและแน่นอน


คำว่า "ความยุติธรรม"
ในความหมายของสังคมสมัยใหม่ ก็เป็นที่น่าสงสัย ด้วยเหตุว่าในสังคมเดิมของทางตะวันออกนั้นไม่ได้มีคำนี้อยู่ หรือถ้ามีอยู่ ก็ไม่ได้มีความหมายเช่นเดียวกับสังคมสมัยใหม่ เช่นเดียวกับคำว่า "เสรีภาพ" และถ้อยคำทางนามธรรมอื่น ๆ ที่เข้ามาพร้อมกับอารยธรรมตะวันตก



อะไรคือความหมายสากลของคำว่า "ความยุติธรรม" ซึ่งนักปรัชญาถกเถียงกันมาตั้งแต่สมัยกรีก - โรมัน ซึ่งได้กลายมาเป็นแม่บทหลักของตัวบทกฎหมายในสังคมตะวันตก ซึ่งยืนพื้นอยู่บนโทษานุโทษ และซึ่งคนในปัจจุบันยอมรับ เทิดทูน และเลิกตั้งคำถามเลิกค้นหาความหมายของมันแล้ว ด้วยถือว่ารู้ซึ้งกระจ่าง แต่ความซึ้งกระจ่างนั้นคือสิ่งใดเล่า?



ความยุติธรรมในทางนิติศาสตร์นั้น ได้กลายเป็นสิ่งที่แข็งทื่อ ตายตัว หมดสิ้นความหลากไหลลุ่มลึกอีกต่อไป มันได้กลายเป็นข้ออ้างและเล่ห์เหลี่ยมของนักกฎหมาย ได้กลายเป็นแค่วาทศิลป์และการเล่นลิ้น มันได้กลายเป็นแค่กฎเหล็กของผู้ต่ำต้อย และกลายเป็นแค่ของเล่นของผู้มีอำนาจ มันได้กลายเป็นแค่การแก้แค้น เป็นอาญาและการลงทัณฑ์ เป็นความคับแคบตายตัวซึ่งไม่มีทางจะบรรลุความเป็นสากลอันกว้างใหญ่ไพศาลได้



มนุษย์ได้สร้างระบบซึ่งเรียกว่ากระบวนการยุติธรรมขึ้น ได้ร่างตัวบทกฎหมายขึ้น โดยหวังให้มันเป็นหลักสากลและครอบคลุมทุกสิ่ง ทว่าสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นกลับไม่อาจเทียบเคียงได้เลยกับผลงานสร้างสรรค์ในธรรมชาติ ไม่อาจเทียบเคียงได้แม้กับน้ำสักหยดหนึ่ง หรือใบหญ้าสักใบ มนุษย์พยายามจะพูดถึงความกว้างใหญ่ไพศาลและความเป็นสากล แต่เขากลับจบลงตรงการตีกรอบแคบ ๆ ให้แก่สิ่งเหล่านั้น และในความพยายามอันไร้สาระของเขา ก็ได้กลายเป็นระบบอันไร้สาระต่าง ๆ ซึ่งครอบงำอยู่เหนือวิถีชีวิตของผู้คนในทุกวันนี้



"ความยุติธรรม"
จะมีความหมายและใช้การได้อย่างแท้จริง ก็ต่อเมื่อมันเป็นผลพวงของปรีชาญาณผสานกับจารีตประเพณีและหลักธรรมความเชื่อของแต่ละท้องถิ่น และแม้ว่าความยุติธรรมจะเป็นนามธรรมสากล แต่ความหมายของมันกลับดำรงอยู่ในหลากหลายมิติยิ่ง เช่นเดียวกับนามธรรมประการอื่น ๆ ซึ่งมนุษย์อาจดึงเอาแง่มุมใดแง่มุมหนึ่งมาใช้อย่างได้ผลภายใต้สถานการณ์ต่าง ๆ กันไป



ด้วยเหตุนี้เองมันจึงเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาร่วมไปกับชีวิตอย่างลุ่มลึกแนบชิด และคงความเป็นนามธรรมอันแท้จริงไว้ได้ เมื่อมีปัญหาหรือความขัดแย้งใด ๆ เกิดขึ้น ความยุติธรรมคือตัวประสาน หรือเครื่องสมานให้กลับไปบรรจบพบกันในความกลมกลืนอีกครั้ง เอกภาพและความกลมกลืนซึ่งเป็นอีกความหมายหนึ่งของมัน ซึ่งทุกฝ่ายต่างยอมรับและพอใจ ด้วยเหตุว่าความกลมกลืนนั้นเป็นอุดมคติของคนในทุกสังคม ดังนั้นเองจึงเป็นข้อยุติของความยุติธรรม หรือธรรมอันเป็นเครื่องยุติ